Taobao ตัวเลือกทางธุรกิจที่ยังคงไปได้ดี ในขณะที่รัฐบาลจีนกำหนดให้สำนักงานทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมของแต่ละมณฑล ปรับปรุงค่าแรงขั้นต่ำได้ตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในพื้นที่ในทุกช่วงครึ่งแรกของปี
เมื่อปีที่แล้ว 7 ภูมิภาคในประเทศจีนได้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำทั้งรายเดือนและรายชั่วโมงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ได้แก่ ฉงชิ่ง ฉ่านซี เซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ตามด้วยเหอเป่ย ฝูเจี้ยนและชิงไห่ในช่วงครึ่งปีหลัง
รัฐบาลจีนจะต้องปรับปรุงค่าแรงขั้นต่ำอย่างน้อยทุก 2-3 ปี แต่จะมีความยืดหยุ่นในการปรับค่าจ้างตามสภาพของแต่ละท้องถิ่นและขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนาและค่าครองชีพด้วย ตัวอย่างเช่น ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นในเมืองหลวง จังหวัดและเมืองที่พัฒนาแล้ว ส่วนเมืองเล็กและพื้นที่ชนบทก็จะมีค่าแรงที่ต่ำลงมาตามลำดับ
สำหรับภูมิภาคจีน มักเลือกที่จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นภูมิภาคอื่นๆ อาจปรับมาตรฐานค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นด้วย อย่างหูหนาน กานซู กุ้ยโจว เทียนจินและเจ้อเจียง เป็นอีกภูมิภาคหนึ่งที่มีแนวโน้มจะปรับค่าแรงขั้นต่ำในต้นปี 2563 นี้ เนื่องจากไม่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามในปี 2563 มีแนวโน้มว่าค่าแรงจีนอาจจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าปกติ เนื่องจากเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน รวมทั้งมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ในส่วนภูมิภาคอาจเลือกที่จะไม่ขึ้นค่าแรงในท้องถิ่น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนนี้
ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดอยู่ที่มณฑลกวางตุ้ง มณฑลเจียงซูและเจ้อเจียง ซึ่งสูงกว่า 2,000 หยวน (US $ 289) รวมถึงเขตเทศบาลของปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้นและเทียนจิน โดยเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศจีนอยู่ที่ 2,480 หยวน (US $ 358) ต่อเดือน ตามด้วยเซินเจิ้นและปักกิ่งอยู่ที่ 2,200 หยวน (US $ 318) ต่อเดือน ส่วนค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำสุดอยู่ในพื้นที่ชนบทบางแห่งของเหลียวหนิง (1,120 หยวน / 162 ดอลลาร์สหรัฐ) มณฑลหูหนาน (1,130 หยวน / 163 ดอลลาร์สหรัฐ) และมณฑลอานฮุย (1,150 หยวน / 166 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อย
ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงไปยังผู้ประกอบการ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาปรับค่าจ้างมาตรฐาน รวมไปถึงประกันสังคมและสวัสดิการอื่นๆ ของพนักงาน โดยเศรษฐกิจของจีนขับเคลื่อนด้วยแนวคิดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบและสินค้าโดยตรง รวมทั้งเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่นวัตกรรมและบริการ ทำให้พนักงานส่วนใหญ่ที่ทำงานกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในจีน จึงได้รับค่าแรงขั้นต่ำที่สูงกว่าปกติ เช่น พนักงานในเซี่ยงไฮ้สามารถทำเงินโดยเฉลี่ย 9,723 หยวน (US $ 1,405) ต่อเดือนจนถึงไตรมาสแรกของปี 2562 ซึ่งมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำในท้องถิ่นถึง 4 เท่า รวมทั้งภาระผูกพัน ประกันสังคม นายจ้างและกองทุนที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 37.25 ของเงินเดือนพนักงานโดยเฉลี่ย
ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจีนส่วนหนึ่งมาจากแหล่งรวมแรงงานของประเทศส่วนใหญ่หดตัวลง เนื่องจากในปี 2561 ประชากรที่มีงานทำของจีนลดลงเป็นครั้งแรกคิดเป็นจำนวน 776 ล้านคน ซึ่งแนวโน้มนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้แรงงานอพยพออกจากภูมิภาคชายฝั่งทะเลอันมั่งคั่งของจีน ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกแบบดั้งเดิมสำหรับการลงทุนและการผลิตในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดในโลกในแง่ของรายได้ แต่สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ค่าแรงที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทำธุรกิจในประเทศจีน เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ผลิตโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนการขนส่งและการเข้าถึงตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ จีนอาจยังคงเป็นตัวเลือกที่ประหยัดต้นทุนมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำ
โดยเฉพาะธุรกิจที่ขนส่งและนำเข้าสินค้าจากจีนยังคงมีต้นทุนที่ต่ำกว่าประเทศอื่นและมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Alibaba Taobao และ Tmall ที่ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถใช้บริการบน Protaobao เว็บไซต์สั่งสินค้าจากจีนที่ให้บริการภาษาไทย พร้อมนำเข้าสินค้าจากจีนครบวงจร ทั้งนี้ผู้ประกอบการและนักลงทุนจะต้องศึกษาค่าแรงงานขั้นต่ำไว้เป็นแนวทางพิจารณาและอัพเดทราคาสินค้าอยู่เสมอ เพื่อผลกำไรของธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันในตลาดด้วย ศึกษาการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนเพิ่มเติมได้ที่ 4 ขั้นตอนสำคัญ นำไปสู่แนวคิดทางธุรกิจที่ยั่งยืน